Solo Journey at Shanghai EP.1

Pawarisa Worakunpisit
4 min readJul 29, 2023

--

ทริปที่เพิ่งจบไป เป็นการเดินทางคนเดียว (แบบเต็มทริป) เป็นครั้งที่สองของเราาา หลังจากรอคอยมานานถึง 5 ปีแหนะ !!!

รอบนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ แล้วว ต้องขอบคุณตัวเราเองที่แบ่งเวลามา แล้วก็ขอบคุณคุณแม่มากๆ ที่เชื่อใจให้หนูมา ถึงแม้มันจะเป็นปีเบญจเพสที่แม่เคยบอกว่าไม่อยากให้เดินทางเลยย 🙈

ช่วงก่อนเริ่มเดินทางเราทำงานเยอะมากๆ แล้วก็แทบไม่ได้มีเวลาแพลนขนาดนั้นว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง ก็เลยกังวลสุดด ขึ้นชื่อว่าจีนที่อินเทอร์เน็ตเค้าใช้ Google service ไม่ได้ แน่นอนว่า Line, FB, IG, twitter ก็ไม่รอดจ้า ก็เลยนอนไม่ไปหลับหลายคืนเพราะกังวลมากๆ

แต่ส่ิงนึงที่เราหยิบไปด้วยก็คือ หนังสือ A Walk on the Wood ที่เอา Winnie the Pooh มาถอดบทเรียนเรื่องของ mindfulness ซึ่งมันน่าจะเข้ากับช่วงจังหวะชีวิตที่เราไม่มีอะไรต้องคิด หรือต้องกังวล และได้ใช้เวลาเงียบๆ อยู่คนเดียว (สปอยด์ไว้ว่าจะเล่าใน EP.2 ด้วย)

Day 0: July 1st, 11.30 PM

เราเดินเข้ามาโซนข้างในหลังจากผ่านด่านตม.แล้วว โหยคิดถึงสนามบินอะ ตั้ง 4 ปีแล้วที่ไม่ได้เข้ามาในนี้ คิดถึงตอนเดินทางคนเดียวครั้งแรกแฮะ เด็กคนนั้นโตมากลายเป็นชั้นคนนี้ที่ทำงานมา 3 ปีแล้ว ไม่ค่อยตื่นเต้นอะไรแล้วแหะ

Day 1: July 2nd, 2.00 AM

เครื่องออกแล้ว เอาจริงหิวมากเลยอะ ตอนเย็นก็ไม่ค่อยได้กินข้าว เพราะกลัวเมาเครื่องแล้วอาเจียนบนเครื่องบิน ว่าแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้นอน เดี๋ยวจะได้นอนในเครื่องแล้วเว้ยยย

Day 1: July 2nd, 05.40 AM

นอนบนเครื่องไม่หลับจริงๆด้วยอะ แทบไม่ได้นอนเลย แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเครื่องด้วย นี่เป็นรอบแรกเลยที่เรากล้ามองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน เพราะปกติเมาเครื่องมากๆ ก็เลยกลัวการมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน รู้สึกออกจาก comfort zone นิดนึงแล้วว่ะ 5555

เราเลือกทรานซิสที่ฮ่องกง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มองวิวของมหาสมุทรรอบเกาะฮ่องกง มันเป็นภาพที่สวยมาก เห็นแล้วยิ้มได้เลย นี่เรามาฮ่องกงครั้งที่ 3 แล้ว แต่เราเพิ่งเห็นความสวยของมันหรอเนี่ย หรือจริงๆ แล้ว เรายังไม่เคยสังเกตเห็นความสวยงามของฮ่องกงเลยนะ

For my little friend Roo,
Everything's new!
When I am just noticing,
It's new for me, too!
Said Pooh.

ถึงแม้เราจะอยู่ในสถานที่เดิม แต่สภาพแวดล้อมในสถานที่นั้นก็เปลี่ยนไปเสมอนะ
เพียงแค่เราสังเกตเห็นสิ่งที่เปลี่ยนไป นั่นก็ให้ประสบการณ์ใหม่ๆ กับเราได้เสมอแล้ว 😋

ภาพทั้งหมดที่เห็นนี้ มันทำให้เรามีความหวัง และเชื่อว่าทริปนี้จะเป็นทริปที่ดีและน่าจดจำทริปนึงแน่ๆ :D

Day 1: July 2nd, 10.40 AM

เครื่องบินแตะแผ่นดินจีนแล้ววว ได้เวลา switch ภาษาเป็นจีนอย่างเต็มรูปแบบ เริ่มตั้งแต่การกรอก health chech QR code ที่มีแต่ภาษาจีนเลยย โชคดีนะที่คนข้างๆ บนเครื่องเป็นคนฮ่องกงที่พูดอังกฤษได้ ก็เลยขอรบกวนหน่อยน้าา

พอผ่าน Immigration เรียบร้อยหมดแล้ว เราก็ตรงไปหาอาหาร junk food ซึ่งเป็นความคุ้นเคยก่อนเลยย บอกตามตรงไม่สันทัดอาหารจีนเท่าไหร่ ไม่ชอบความมัน

พอซื้อ Mc เสร็จ ก็เดินตามหา Metro ที่ดูคลิปการสอนซื้อตั๋วขึ้น Metro มาแล้ว สบายมักเลยรอบนี้ โหอะไรก็ชิว ไม่เหมือนตอนไปแคนาดาเลยอะะ

และจากการเล็ง map ก่อนมาถึงจีนอย่างดีแล้ว เราก็สามารถเดินไปเจอที่พักโดยที่แทบไม่ต้องเช็ค map หน้างานเลยย

หมดแรงเท่านี้ละ เรารีบอาบน้ำและทิ้งตัวลงบนเตียงนิ่มๆ แม้จะยังไม่เป่าผม เพราะเหนื่อยไม่ไหวแล้ววววววว

Day 2: July 3rd

การตื่นเองโดยไม่มีนาฬิกาปลุก มันดีแบบนี้นี่เองง

วันนี้เราจะออกเดินทางไปทำความรู้จักเซี่ยงไฮ้แล้วว ขอเริ่มจาก landmark ละกันน แต่ก่อนจะไป landmark ขอหาข้าวเที่ยงก่อน

เราเดินไป Metro อีกสถานีนึงที่ติดกับห้างที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย และเดินหาข้าวกินในนั้น ซึ่งหานานมากกก แล้วก็ไปจบในร้านที่มีอาหารหน้าตาคุ้นเคย โดยไม่รู้เลยว่าร้านนั้นมีชื่อว่า… Sukiya!!!!!

แกไปจีนทั้งทีเนี่ยนะ? เออใช่ ก็มันหิวจัดแล้วอะ ต้องการอาหารที่คุ้นเคยแล้วเว้ย

ตอนไปสั่งก็คือการเริ่มพูดคุยภาษาจีนอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก เหมือนเป็น 1st check point ในการมาจีนเลย

พอกินข้าวเสร็จ ก็เลยเริ่มต้นด้วยสถานที่เบาๆ อย่าง Nanjing east ซึ่งเป็นถนนช็อปปิ้ง แล้วก็มีทางเดินยาวไปถึงริมแม่น้ำ Huangpu ซึ่งเป็นสถานที่ดูวิว the Bund ด้วย

พอไปถึงแล้วก็แบบมีร้านดังๆ เพียบเลย กับ street food เยอะมาก
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว้าว เพราะเราไม่ใช่ทั้งสายช็อปและกิน จบจัด 5555 แล้วแดดก็ร้อนมากด้วยย พอไปถึงแล้วก็รู้สึกว่าอื้ม มาถึงละ กลับดีกว่า จบวันไปแบบดื้อๆ เลย

เนี่ยคิดๆ ดูแล้ว เหมือนเราเริ่มแก่แล้วอะ ร่างกายและจิตใจยังต้องการสิ่งที่ comfortable อยู่ หรือเป็นช่วงเริ่มๆปรับตัวแหละมั้ง ปลอบใจตัวเองแบบนั้น

ขโมยรูปของอีกวันมาใช้ เพราะวันแรกๆ ไม่ได้ถ่ายอะไรเลย

Day 3: July 4th

วันนี้เตรียมพร้อมไปตะลุยมิวเซียมแล้วว เราเลือก museum ที่อยู่ไกลไปก่อน แล้วก็เห็นว่าแถวนั้นดูเดินเล่นชิวๆ ได้

ก่อนเข้าในมิวเซียม ตามธรรมเนียมเดิมก็คือตามหาข้าวเที่ยงก่อนน ไปเจอ foodhall ในห้าง challenge ของเราในวันนี้ ก็คือ ห้ามกินอาหาร junk food/Japanese food/Korean food แกต้องเริ่มลองอาหารจีนได้แล้วนะะ

ก็เลยลองเดินหาอาหารจีนที่ดูไม่มันและไม่เผ็ดมาก และเราน่าจะ enjoy ได้ แต่สุดท้ายก็จบที่เกี๊ยวน้ำอยู่ดี แต่อย่างน้อยก้ใช้ภาษาจีนเพิ่มขึ้นแหละเนอะะ 😂

แล้วก็ไปที่ Jewish Refugees Museum ที่เล่าเรื่องการอพยพของคนยิวมาที่เซี่ยงไฮ้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และรากฐานของชาวยิวต่อเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเราว่าเป็นมิวเซียมที่เล่าเรื่องราวได้ดีเลย แล้วก็ใช้ plot แบบการทำหนังที่ค่อยๆ ปูเรื่อง มีจุด climax แล้วจบสวย น่าประทับใจ

หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่นรอบๆ เห็นบอกว่าเป็นย่านที่ตึกเก่าของชาวยิว แต่พอเดินจริงก็แบบ สไตล์ยุโรปเลยแก แล้วตึกก็ดูเก่า แถมร้างด้วย ไม่มีคนอยู่แล้ว ก็เลยดูไม่ค่อยน่าเดินเท่าไหร่

เราเลยเดินไปทางริมแม่น้ำแทน แล้วก็เจอโซนที่อยู่ที่เป็นคอนโดสูงมากๆ แล้วก็มีท่าจอดเรือยอร์ชหลายลำเลย หูวนี่มันย่านเศรษฐีชัดๆ

พอเดินมาถึงริมท่าน้ำ เราก็เห็นสวนสาธารณะเลียบไปกับริมแม่น้ำ แล้วก็มีทางวิ่ง jogging และปั่นจักรยานด้วย ไหนเดินเล่นหน่อยดีกว่า

เราว่าเค้าทำสวนนี้ไว้ดีมากเลย ทางเดินดีมากๆ ต้นไม้ร่มรื่น เราได้กลิ่นต้นไม้ ดอกไม้ แล้วก็ได้ยินเสียงนก เสียงแมลงตลอดเวลา เดินๆ ไปแล้วรู้สึกว่าสบายใจจังเลย เป็นสถานที่ที่มาพักผ่อนได้จริง เราก็เลยไปนั่งเฉยๆ มองท้องฟ้า มองทะเล มองเรือ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเรื่อยๆ

ถ้าที่ไทยมีสวนสาธารณะแบบนี้ มีระดับความปลอดภัยและความสะอาดเท่านี้ก็คงดี เราน่าจะมานั่งเปื่อยบ่อยมากแน่นอน ยังคงรออย่างมีความหวังอยู่นะกรุงเทพ

เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองเดียวในเอเชียที่อ้าแขนรับผู้ลี้ภัยชาวยิวให้เข้ามาสร้างชีวิตใหม่ที่นี่

Day 4: July 5th

วันนี้เราแพลนจะไป Shanghai Museum เราเริ่มจากการเดินผ่าน People’s Square ซึ่งเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองที่ใหญ่มากๆ เพื่อที่จะเดินไป Shanghai Museum ก่อน เพราะอยู่ไกลสุด และกว้างใหญ่มากกก กลัวเดินไม่ครบก่อนเวลาปิด

แต่ระหว่างทางนั้น เราเจอสวนสนุกในสวน ตอนมองไกลๆ ก็ดูเป็นโซนเครื่องเล่นเด็กเก่าๆ ช่วงนั้นเป็นตอนเที่ยงด้วย ยังไม่ค่อยมีคนเลย แต่พอเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นพ่อแม่พาเด็กๆ มาเล่น

เราไปสะดุดที่รถไฟเหาะอันเล็กๆ เก่าๆ ถึงจะมีแค่เด็กคนเดียวขึ้นไปเล่น เค้าก็เปิดให้เล่นด้วยอะ ใจดีมากๆ ถ้าเป็นที่ไทย ยังไงก็ไม่ได้เล่นแน่ๆ

ตอนมองเด็กน้อยเล่น ก็รู้สึกว่ามีความสุขจังเลย เราที่อยากไปดรีมเวิลล์อยู่แล้ว แต่ไม่มีเพื่อนไป ก็เลยอยากเล่นขึ้นไปใหญ่ พอรอบถัดไปก็เป็นคุณแม่พาลูกมาเล่น แล้วเราก็ปิ๊งไอเดียว่าถ้าแม่น้องขึ้นมาเล่นได้ ทำไมเราจะเล่นบ้างไม่ได้!!

เรารวบรวมคำศัพท์ภาษาจีนทั้งที่นึกได้ตอนนั้นเพื่อไปถามเจ้าหน้าที่ว่า เราเล่นรถไฟเหาะได้มั้ยย ซึ่งคำตอบคือเล่นได้ เสียไปทั้งหมด 40 หยวน และค่ามัดจำบัตรเครื่องเล่นอีก 10 หยวน (ฟังออกด้วยวะ เก่งจัง)

วินาทีที่รถไฟเหาะเริ่ม take off เราก็นึกขำใส่ตัวเองว่า อายุ 25 แล้ว ทำตัวเป็นเด็กจังอะ จังหวะที่รถไฟเหาะเลี้ยวโค้งและทิ้งตัวดิ่งลงไปด้านล่าง เราพยายามไม่กรี๊ดแล้วนะ แต่มันก็มีเสียงเล็ดลอดมาอยู่ดี กรี๊ดเสร็จก็ขำตัวเองอีก ตอนเห็นน้องเล่นเค้าไม่เห็นกรี๊ดกันเลยอะ

หลังจากที่ลงจากรถไฟเหาะแล้ว เรายิ้มให้ตัวเอง แล้วก็ภูมิใจกับตัวเองมากๆ :)

ย้อนกลับไปตอนไปแคนาดา มีหลายอย่างที่เราอยากทำ แต่พอไปคนเดียวแล้วมันก็เขิลๆ หน่อย ก็เลยไม่ได้ทำ คิดย้อนกลับไปทีไรก็อยากจะตีตัวเอง หลังจากนั้นก็เลยตั้งใจว่า อยากทำอะไรก็ทำไปเหอะ โดยเฉพาะในที่ที่ไม่มีคนรู้จักเรา ไม่ต้องกลัวใครมาตัดสินเรา จะได้ไม่ต้องมาเสียดายทีหลังแบบนั้น

และวันนี้เราทำได้แล้ว เก่งมากเจ้าแปม นี่เป็นหนึ่งในจังหวะที่เรามีความสุขที่สุดในทริปนี้เลยนะ :D

สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไป Shanghai Museum เพราะทัวร์ลงเยอะมากกกก รถบัสนับล้าน (เว่อร์) จอดเรียงรายส่งคนเข้าไปในมิวเซียม พอเห็นคนจำนวนนั้นแล้วขอถอยดีกว่า เราเปลี่ยนแพลนไป Urban Planning Museum ที่เดินผ่านมาแทน

แต่ก็พบว่า Urban Planning Museum ปิดวันพุธพอดี เศร้าจัด ที่จริงเราค่อนข้างตั้งใจมาที่นี่อยู่นะ เพราะคิดว่าเซี่ยงไฮ้เป็นอีกเมืองที่ผังเมืองค่อนข้างดีเลย มีสวนสาธารณะกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง เข้าถึงง่ายมากๆ แล้วผังถนนก็ค่อนข้างเป็นระเบียบนะ ไม่รู้เพราะชินกับกรุงเทพ เลยชื่นชมเมืองนี้หรือเปล่า

เราก็เลยต้องเปลี่ยนแพลนอีกรอบเพื่อย้อนกลับไป Shanghai Historical Museum แทน รอบนี้ได้เข้า Museum แล้วด้วยนะ เค้าปู storytelling มาดีมาก ถือว่าชดเชย Shanghai Museum ได้อย่างน่าประทับใจ แถมบนตึกยังมีสวนบน rooftop ที่มองเห็นเซี่ยงไฮ้ในมุมสูงได้ด้วย ตอนที่เราขึ้นไปอากาศดีมากๆ มีลมเย็รและอากาศไม่ร้อนจนเกินไปด้วย เป็นวิวที่ดีจัง

Rooftop garden at Shanghai Historical Museum

วันนี้ป็นวันที่ unexpected ในหลายๆ เรื่อง แต่ก็เพราะ unexpected situation พวกนี้ใช่มั้ยละ ที่สร้างความน่าจดจำในอีกรูปแบบนึง ขอบคุณทุกๆ อย่างที่ทำให้เรา enjoy ไปกับวันนี้มากๆ นะ :D

Day 5: July 6th

วันนี้เราแพลนจะไปที่ Shanghai Natural Historical Museum เป็นฟีลพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ของเซี่ยงไฮ้ ดูรีวิวแล้วอยากเข้าไปรู้ว่า เด็กจีนเค้าเรียนวิทยาศาสตร์กันยังไง

แน่นอนว่าเราเริ่มวันด้วยข้าวเที่ยงเหมือนเดิม พอลงจาก metro ก็เจอห้างเลย ธุรกิจห้างที่จีนนี่น่าจะรุ่งเรือง เจอทุก metro เลย

ตอนนั้นเป็นเวลา 10 โมงกว่า เราเดินไปเจอร้านนึงที่เป็นก๋วยเตี๋ยวแบบจีนจริงๆ เราพยายามอ่านเมนู แล้วเช็คว่าไม่ใช่เนื้อ และไม่เผ็ดแล้วด้วย ซึ่งคุยจีนกันอยู่พักนึงเลยกว่าจะได้กิน แล้วก็ได้ความรู้ใหม่ด้วยว่าถ้าจ่ายเงินด้วย Alipay ก่อน 11 โมง จะเสียค่าธรรมเนียมอะไรซักอย่างที่แพงกว่าปกติ (ฟังออกอีกแล้ว เก่งว่ะ 555555)

กินเสร็จก็ไปมิวเซียมกันนนน ทันทีที่เดินไปทางที่ไปมิวเซียม ก็พบว่ามีแต่พ่อแม่พาเด็กตัวน้อย เดินไปในทางเดียวกับเรา ขอเดินเนียนๆ ไปด้วยนะคะ

พอไปถึงมิวเซียมแล้วก็เศร้าใจ เพราะต้องลงทะเบียนใน Wechat ซึ่ง require mobile number แล้วเราไม่ได้จดเบอร์ Sim2fly ไว้ในเครื่องด้วยสิ (โง่จริง ไม่รู้ว่าดูในไอโฟนได้) ก็เลยขอถอนตัวจากมิวเซียมนี้ แล้วเปลี่ยนแพลน (อีกแล้ว)

เราจะกลับไปที่ Urban Planning Museum เพื่อแก้ตัวเมื่อวานแทน แต่แล้วก็พบว่า มันต้อง register ใน Wechat เหมือนกัน 😭😭😭 เหนื่อยจะปรับแพลนแล้วน้า 🫠

ท่าไม้ตายสุดท้ายก็คือไปเดินเล่น West Nanjing Road ที่เดินผ่านแล้วเมื่อวาน แต่ยังไม่ได้เดินอย่างจริงจังเลย

หน้าตาไม่ต่างจาก East Nanjing เลยอะ เป็นถนนที่มี Brandname shop เยอะ และอากาศที่ร้อนจัด ว่าแล้วก็เดินหลบแดดเข้าไปซักตึกดีกว่า

มีคนแนะนำให้ไป Lego shop กับ M&M shop ไหนๆ ก็แดดร้อนแล้ว เดินหลบเข้าไปใน shop ก็เป็นไอเดียที่ดี

พอเข้าทั้งสองร้านแล้ว เราก็พบว่า แล้วไงวะ 5555555 แบบเหมือนดูให้รู้เฉยๆ ว่าอ๋อมันก็เหมือนในยูทูปเลย เพราะเราไม่ได้อินด้วยแหละ จังหวะนั้นก็ยิ่งตอกย้ำเราว่า ไม่ต้องเก็บทุกสถานที่ที่ทุกคนแนะนำก็ได้ เลือกไปเฉพาะที่ที่เรา enjoy ก็พอ

ซึ่งเมื่อคืนก็มีคนบอกเราด้วยประโยคทำนองนี้แล้วนะ แต่ก็ยังไม่ตกผลึกดี
เราถามเค้าว่าไปดิสนีย์แลนด์ดีมั้ย เพราะมีคนแนะนำมาว่ามาเซี่ยงไฮ้ทั้งที ก็ให้ไปซะเลย แต่เราก็ไม่ได้อินกับดิสนีย์ขนาดนั้น แล้วก็รู้สึกว่าไปคนเดียวก็คงเฉยๆ มั้ง
เค้าก็ตอบเราว่าให้ไปที่ที่เราอยากไปแหละ ซึ่งพอมานึกย้อนไปจากวันนี้ ก็รู้สึกไม่เสียดายที่ไม่ได้ไปดิสนีย์นะ

การไปเที่ยวนี่ฝึก prioritization ได้ดีมากๆ เลยนะ เรามี constraint เรื่อง resource ทั้งเรื่องเวลา ความสามารถของร่างกาย และงบประมาณ
Do choose wisely!

หลังจากที่ไม่รู้จะไปที่ไหนต่อ ก็เลยตัดสินใจกลับที่พักเลยละกัน เป็น 5 วันที่ใช้ชีวิตเต็มที่และเหนื่อยมากๆ เราย้อมใจด้วยการซื้อซาลาเปาระหว่างทางกลับมาที่ที่พัก เป็นร้านซาลาเปาข้างทางที่ดูดีมากๆ และอยู่ตรงข้าม Pullman ด้วย มันต้องเป็นของดีของเด็ดแน่นอนน

ใช่มันเด็ดจริงงงง ถึงแม้มันจะเป็นแค่ซาลาเปาหมูสับที่ดูธรรมดา แต่นี่เป็นซาลาเปาที่อร่อยที่สุดในชีวิตแล้วว เพราะน้องเค้า juicy แต่ไม่ได้เป็นซุปขนาดเสี่ยวหลงเปานะ กินแล้วติดใจมากๆ ตั้งใจว่าต้องกลับมาซ้ำแน่นอน

ขณะที่นั่งเล่นมือถืออยู่นั้น ก็มีอีเมลนึงเด้งเข้ามา เป็นอีเมลที่ทำให้ยอมเปลืองเน็ตเพื่อเปิด roaming เข้ามาดูเลย เพราะมันบอกว่า ไฟลท์โดนเลื่อนไปแล้วเรียบร้อย 😨

ใช่ไฟลท์จากฮ่องกงกลับกทมของเราเลื่อนเวลาขึ้นมาไวขึ้น ซึ่งมันจะ overlap กับไฟลท์จากเซี่ยงไฮ้ไปฮ่องกง จังหวะนั้นเครียดมาก เวลาของไฟลท์ที่เหลืออยู่ก็แย่เลยทีเดียว

เย้ เปลี่ยนไฟลท์ได้ล้าววว อีก 3 ชั่วโมงต่อมา เราก็ได้รับอีเมลคอนเฟิร์มไฟลท์ใหม่ เราตัดสินใจเลือกทรานซิสฮ่องกง 8 ชั่วโมง แล้วกลับถึงไทยตอนตี 1 ของวันถัดไปแทน It’s gonna be a very long day for sure.

ตอนแรกก็ค่อนข้างเซ็งที่ทรานซิสนานจัด ถ้าต้องรอในสนามบินต้องเบื่อมากแน่ๆ
แต่เราก็เพิ่งรู้ว่า ถ้าทรานซิสนาน เราสามารถออกไปเที่ยวในฮ่องกงได้นะ เราก็ดีใจสุดๆ ไปเลยยยยย วัดหวังต้าเซียนเจอกันแน่!!!

แต่ชีวิตของแปมในวัย 25 ปี มันไม่ง่ายขนาดนั้นอะสิ เดี๋ยว EP หน้ารู้เลย 😰

--

--

No responses yet